article
articleเทอร์โมมิเตอร์ ( Thermometer )
เทอร์โมมิเตอร์ ( Thermometer )
เทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer) คือเครื่องมือวัดที่ใช้ในการวัดอุณหภูมิหรือระดับความร้อนของวัตถุหรือสภาพแวดล้อม โดยอาศัยหลักการที่ว่า สสารส่วนใหญ่จะขยายตัวเมื่อได้รับความร้อน และหดตัวเมื่อสูญเสียความร้อน การวัดอุณหภูมิมีความสำคัญอย่างยิ่งในหลากหลายสาขาอาชีพ เช่น อุตสาหกรรม การแพทย์ และวิทยาศาสตร์ โดยข้อมูลที่ได้จากการวัดอุณหภูมิจะนำไปใช้ในการควบคุมกระบวนการผลิต, การวินิจฉัยโรค, การพยากรณ์อากาศ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ความสำคัญของเทอร์โมมิเตอร์
เทอร์โมมิเตอร์เป็นเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่สำคัญอย่างยิ่ง และมีบทบาทสำคัญในหลากหลายสาขาอาชีพและชีวิตประจำวันของเรา ความสำคัญของเทอร์โมมิเตอร์นั้นสามารถสรุปได้ดังนี้
- การควบคุมกระบวนการผลิต
 
- อุตสาหกรรม: เทอร์โมมิเตอร์ถูกนำมาใช้ในการควบคุมอุณหภูมิในกระบวนการผลิตต่างๆ เช่น การหลอมโลหะ การผลิตอาหาร การผลิตยา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับมาตรฐาน
 - การผลิตพลังงาน: ในโรงไฟฟ้า เทอร์โมมิเตอร์ใช้เพื่อวัดอุณหภูมิของไอน้ำและส่วนประกอบต่างๆ เพื่อควบคุมประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน
 
- การแพทย์
 
- การวินิจฉัยโรค: การวัดอุณหภูมิร่างกายเป็นหนึ่งในวิธีการเบื้องต้นในการตรวจหาโรคติดเชื้อ
 - การรักษาพยาบาล: การควบคุมอุณหภูมิร่างกายของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโรคบางชนิด เช่น ไข้สูง หรือภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ
 - การวิจัยทางการแพทย์: เทอร์โมมิเตอร์ใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายในสภาวะต่างๆ
 
- อุตุนิยมวิทยา
 
- การพยากรณ์อากาศ: การวัดอุณหภูมิของอากาศเป็นข้อมูลสำคัญในการพยากรณ์อากาศ และการทำความเข้าใจสภาพอากาศ
 - การศึกษาสภาพภูมิอากาศ: ข้อมูลอุณหภูมิจากเทอร์โมมิเตอร์ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
 
- วิทยาศาสตร์
 
- การทดลอง: เทอร์โมมิเตอร์ใช้ในการวัดอุณหภูมิในระหว่างการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อควบคุมตัวแปรและวิเคราะห์ผลการทดลอง
 - การวิจัย: การวัดอุณหภูมิมีความสำคัญในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายสาขา เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
 
- ชีวิตประจำวัน
 
- การปรุงอาหาร: เทอร์โมมิเตอร์อาหารช่วยให้เราปรุงอาหารได้อย่างถูกสุขอนามัยและอร่อย
 - การทำขนม: การควบคุมอุณหภูมิในการอบขนมเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ขนมออกมาดี
 - การดูแลบ้าน: เทอร์โมมิเตอร์ใช้ในการวัดอุณหภูมิภายในบ้าน เพื่อควบคุมเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความร้อน
 
หลักการทำงาน
หลักการทำงานของเทอร์โมมิเตอร์แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งออกได้เป็นหลักการสำคัญดังนี้
- การขยายตัวของของเหลว
 
- หลักการ: เมื่อของเหลว เช่น ปรอท หรือแอลกอฮอล์ ถูกให้ความร้อน โมเลกุลของของเหลวจะเคลื่อนที่เร็วขึ้นและกระจายตัวออกจากกัน ทำให้ปริมาตรของของเหลวเพิ่มขึ้น
 - การนำไปใช้: ของเหลวเหล่านี้จะถูกบรรจุอยู่ในหลอดแก้วที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็ก เมื่อของเหลวขยายตัว ระดับของเหลวในหลอดแก้วจะสูงขึ้น ซึ่งสามารถนำมาอ่านค่าอุณหภูมิได้โดยเทียบกับมาตราส่วนที่กำหนดไว้
 
- ความต้านทานไฟฟ้า
 
- หลักการ: วัสดุบางชนิด เช่น โลหะ มีความต้านทานไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ความต้านทานไฟฟ้าของวัสดุจะเพิ่มขึ้น
 - การนำไปใช้: เทอร์มิสเตอร์ (Thermistor) เป็นอุปกรณ์ที่อาศัยหลักการนี้ โดยเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเทอร์มิสเตอร์ ความต้านทานที่เปลี่ยนแปลงไปจะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า และนำไปแสดงผลเป็นค่าอุณหภูมิ
 
- แรงเคลื่อนไฟฟ้า
 
- หลักการ: เมื่อเชื่อมต่อโลหะสองชนิดที่แตกต่างกันเข้าด้วยกัน และปลายทั้งสองของโลหะทั้งสองมีอุณหภูมิแตกต่างกัน จะเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าขึ้น เรียกว่า แรงเคลื่อนไฟฟ้าเทอร์โมอิเล็กทริก
 - การนำไปใช้: เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) เป็นอุปกรณ์ที่อาศัยหลักการนี้ โดยแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะแปรผันตามความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างปลายทั้งสองของโลหะ
 
- การแผ่รังสีอินฟราเรด
 
- หลักการ: วัตถุทุกชนิดที่มีอุณหภูมิสูงกว่าศูนย์สัมบูรณ์จะแผ่รังสีอินฟราเรดออกมา โดยปริมาณของรังสีอินฟราเรดที่แผ่ออกมาจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของวัตถุ
 - การนำไปใช้: เทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรดจะตรวจจับรังสีอินฟราเรดที่แผ่ออกมาจากวัตถุ แล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า เพื่อนำไปคำนวณหาค่าอุณหภูมิ
 
ประเภทของเทอร์โมมิเตอร์
1. เทอร์โมมิเตอร์แบบหลอดแก้ว(Liquid-in-glass thermometer)เป็นเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่เราคุ้นเคยกันดีที่สุด โดยมีลักษณะเป็นหลอดแก้วที่มีของเหลวอยู่ภายใน ซึ่งมักจะเป็นปรอทหรือแอลกอฮอล์ หลักการทำงานของเทอร์โมมิเตอร์ชนิดนี้ค่อนข้างเรียบง่าย
หลักการทำงาน
เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ของเหลวภายในหลอดแก้วจะขยายตัว เนื่องจากโมเลกุลของของเหลวจะเคลื่อนที่เร็วขึ้นและต้องการพื้นที่มากขึ้นในการเคลื่อนที่ ดังนั้นระดับของเหลวในหลอดแก้วจึงสูงขึ้น และเมื่ออุณหภูมิลดลง ของเหลวจะหดตัวและระดับของเหลวก็จะลดลงตามไปด้วย โดยเราสามารถอ่านค่าอุณหภูมิได้จากระดับของเหลวที่สัมพันธ์กับมาตราส่วนที่กำหนดไว้บนหลอดแก้ว
การใช้งานเทอร์โมมิเตอร์แบบหลอดแก้ว เทอร์โมมิเตอร์แบบหลอดแก้วมักถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น
- วัดอุณหภูมิร่างกาย: เทอร์โมมิเตอร์ปรอทเคยเป็นที่นิยมใช้ในการวัดอุณหภูมิร่างกาย แต่ปัจจุบันนิยมใช้เทอร์โมมิเตอร์ดิจิทัลแทน เนื่องจากความปลอดภัย
 - วัดอุณหภูมิของน้ำ: เช่น การต้มน้ำ การอาบน้ำ
 - วัดอุณหภูมิห้อง: ใช้เพื่อตรวจสอบอุณหภูมิในห้องต่างๆ
 - การทดลองทางวิทยาศาสตร์: ใช้ในการทดลองที่ไม่ต้องการความแม่นยำสูง
 
ข้อดีของเทอร์โมมิเตอร์แบบหลอดแก้ว
- ราคาถูก: เป็นเทอร์โมมิเตอร์ที่มีราคาประหยัดที่สุด
 - ใช้งานง่าย: ไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า ใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน
 - ทนทาน: มีอายุการใช้งานค่อนข้างนาน
 - ช่วงการวัดกว้าง: สามารถวัดอุณหภูมิได้ในช่วงที่ค่อนข้างกว้าง
 
ข้อเสียของเทอร์โมมิเตอร์แบบหลอดแก้ว
- ความแม่นยำ: อาจมีความคลาดเคลื่อนในการอ่านค่าได้บ้าง เนื่องจากการขยายตัวของแก้ว และการอ่านค่าที่อาศัยสายตา
 - เปราะบาง: หลอดแก้วอาจแตกหักได้ง่าย
 - อันตราย: หากหลอดแก้วแตก ปรอทอาจรั่วออกมา ซึ่งเป็นสารพิษ
 - ไม่เหมาะกับการวัดอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงเร็ว: เนื่องจากของเหลวใช้เวลาในการขยายตัวและหดตัว
 - ไม่สามารถวัดอุณหภูมิที่สูงหรือต่ำมากได้: มีข้อจำกัดในช่วงของอุณหภูมิที่วัดได้
 
2.เทอร์โมมิเตอร์แบบไบเมทัล(Bimetallic thermometer)เป็นเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่ทำงานโดยอาศัยหลักการขยายตัวของโลหะเมื่อได้รับความร้อน โดยภายในเทอร์โมมิเตอร์ชนิดนี้จะมีแผ่นโลหะสองชนิดที่แตกต่างกันติดกัน ซึ่งโลหะทั้งสองชนิดนี้จะมีอัตราการขยายตัวเมื่อได้รับความร้อนไม่เท่ากัน
หลักการทำงาน
เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง โลหะทั้งสองชนิดในแผ่นไบเมทัลจะขยายตัวไม่เท่ากัน ทำให้แผ่นโลหะโค้งงอ และการโค้งงอนี้จะถูกนำมาใช้ในการเคลื่อนเข็มชี้บนหน้าปัด เพื่อบอกค่าอุณหภูมิ
การใช้งานเทอร์โมมิเตอร์แบบไบเมทัล เทอร์โมมิเตอร์แบบไบเมทัลมักถูกนำมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น
- อุตสาหกรรมอาหาร: ใช้ในการวัดอุณหภูมิของเตาอบ หม้อต้ม หรืออาหารที่กำลังปรุง
 - อุตสาหกรรมปิโตรเคมี: ใช้ในการวัดอุณหภูมิของท่อและถังเก็บ
 - ระบบปรับอากาศ: ใช้ในการวัดอุณหภูมิของห้อง
 - เครื่องจักรกล: ใช้ในการวัดอุณหภูมิของเครื่องจักร
 
ข้อดีของเทอร์โมมิเตอร์แบบไบเมทัล
- ทนทาน: โครงสร้างแข็งแรง ทนทานต่อการสั่นสะเทือน
 - ไม่มีส่วนประกอบที่เปราะบาง: ไม่มีความเสี่ยงที่หลอดแก้วจะแตก
 - อ่านค่าได้ง่าย: มีหน้าปัดแสดงค่าอุณหภูมิชัดเจน
 - ไม่ต้องการพลังงาน: ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่
 - ราคาไม่แพง: มีราคาที่จับต้องได้
 
ข้อเสียของเทอร์โมมิเตอร์แบบไบเมทัล
- ความแม่นยำ: อาจมีความคลาดเคลื่อนในการอ่านค่าได้บ้าง
 - ช่วงการวัด: ช่วงการวัดอุณหภูมิอาจจำกัดเมื่อเทียบกับเทอร์โมมิเตอร์ชนิดอื่น
 - ได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน: การสั่นสะเทือนอาจทำให้ค่าที่อ่านได้คลาดเคลื่อน
 - ไม่สามารถวัดอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงเร็วได้อย่างแม่นยำ: เนื่องจากแผ่นไบเมทัลต้องใช้เวลาในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
 
3.เทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัล(Digital thermometer)เป็นเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีความแม่นยำสูง ใช้งานง่าย และมีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย
หลักการทำงาน
เทอร์โมมิเตอร์ดิจิทัลทำงานโดยอาศัยเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ ซึ่งเมื่อสัมผัสกับความร้อน เซ็นเซอร์จะเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานไฟฟ้า หรือสร้างแรงดันไฟฟ้าออกมา ค่าที่ได้จะถูกส่งไปยังวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในตัวเครื่อง เพื่อแปลงเป็นค่าตัวเลขแสดงผลบนหน้าจอดิจิทัล
การใช้งานเทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัล เทอร์โมมิเตอร์ดิจิทัลมีการใช้งานที่หลากหลาย เช่น
- วัดอุณหภูมิร่างกาย: มีทั้งแบบสัมผัสและแบบไม่สัมผัส
 - วัดอุณหภูมิอาหาร: เช่น เนื้อสัตว์ นม
 - วัดอุณหภูมิของเหลว: เช่น น้ำ น้ำยาเคมี
 - วัดอุณหภูมิในอุตสาหกรรม: เช่น การควบคุมอุณหภูมิในกระบวนการผลิต
 
เซ็นเซอร์ที่นิยมใช้ในเทอร์โมมิเตอร์ดิจิทัล ได้แก่
- เทอร์มิสเตอร์ (Thermistor): เป็นเซ็นเซอร์ที่ความต้านทานจะเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิ
 - เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple): เป็นเซ็นเซอร์ที่สร้างแรงดันไฟฟ้าเมื่อมีอุณหภูมิแตกต่างกันระหว่างปลายโลหะสองชนิด
 - RTD (Resistance Temperature Detector): เป็นเซ็นเซอร์ที่ความต้านทานจะเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น
 
ข้อดีของเทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัล
- ความแม่นยำสูง: ให้ค่าที่แม่นยำกว่าเทอร์โมมิเตอร์แบบอื่นๆ
 - อ่านค่าได้ง่าย: ผลลัพธ์แสดงเป็นตัวเลขบนหน้าจอ
 - ฟังก์ชันหลากหลาย: บางรุ่นสามารถบันทึกข้อมูล เปลี่ยนหน่วยวัด และตั้งค่าปลุกได้
 - ขนาดเล็ก พกพาสะดวก: เหมาะสำหรับใช้งานในหลายสถานการณ์
 - ตอบสนองเร็ว: แสดงผลค่าอุณหภูมิได้รวดเร็ว
 
ข้อเสียของเทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัล
- ราคาสูงกว่า: เมื่อเทียบกับเทอร์โมมิเตอร์แบบอื่นๆ
 - ต้องใช้แบตเตอรี่: อาจต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นระยะ
 - อาจได้รับผลกระทบจากสัญญาณรบกวน: ในบางกรณีอาจทำให้ค่าที่อ่านได้คลาดเคลื่อน
 
4.เทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรด (Infrared thermometer) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ปืนวัดอุณหภูมิ เป็นเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่ทำงานโดยอาศัยหลักการของรังสีอินฟราเรด (Infrared) ซึ่งเป็นรังสีความร้อนที่วัตถุทุกชนิดปล่อยออกมา โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับวัตถุที่ต้องการวัด
หลักการทำงาน
- การปล่อยรังสีอินฟราเรด: ทุกวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงกว่าศูนย์สัมบูรณ์จะปล่อยรังสีอินฟราเรดออกมา
 - การรับรังสี: เทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรดจะรับรังสีอินฟราเรดที่ปล่อยออกมาจากวัตถุ
 - การแปลงสัญญาณ: รังสีอินฟราเรดที่ได้รับจะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า
 - การแสดงผล: สัญญาณไฟฟ้าจะถูกประมวลผลและแสดงผลเป็นค่าอุณหภูมิบนหน้าจอ
 
การใช้งานเทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรด
- อุตสาหกรรม: ใช้ตรวจสอบอุณหภูมิของเครื่องจักร เครื่องยนต์ และกระบวนการผลิต
 - การแพทย์: ใช้ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย
 - การบำรุงรักษา: ใช้ตรวจสอบอุณหภูมิของมอเตอร์ เบรก และอุปกรณ์ไฟฟ้า
 - งานวิจัย: ใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์
 - ครัวเรือน: ใช้ตรวจสอบอุณหภูมิของอาหาร หรืออุณหภูมิในห้อง
 
ข้อดีของเทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรด
- วัดอุณหภูมิได้รวดเร็ว: ให้ผลลัพธ์เกือบจะทันที
 - ไม่ต้องสัมผัสวัตถุ: เหมาะสำหรับวัดอุณหภูมิของวัตถุที่ร้อนจัด หรืออยู่ในสภาวะที่เข้าถึงยาก
 - ปลอดภัย: ไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนหรือความเสียหายต่อวัตถุ
 - หลากหลายการใช้งาน: สามารถวัดอุณหภูมิของวัตถุได้หลากหลายประเภท ทั้งของแข็ง ของเหลว และก๊าซ
 
ข้อจำกัดของเทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรด
- วัดอุณหภูมิผิวหน้า: วัดได้เฉพาะอุณหภูมิของผิวหน้า ไม่สามารถวัดอุณหภูมิภายในได้
 - ได้รับผลกระทบจากค่าการแผ่รังสี: วัตถุประเภทต่างๆ มีค่าการแผ่รังสีไม่เท่ากัน ทำให้ค่าที่อ่านได้อาจมีความคลาดเคลื่อน
 - ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อม: ความชื้น ฝุ่นละออง และอุณหภูมิโดยรอบอาจส่งผลต่อความแม่นยำของการวัด
 - ราคาค่อนข้างสูง: เมื่อเทียบกับเทอร์โมมิเตอร์ชนิดอื่นๆ
 
5.เทอร์โมคัปเปิล ( Thermocouple )เป็นเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิชนิดหนึ่งที่ทำงานโดยอาศัยหลักการทางไฟฟ้า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่จุดเชื่อมต่อของโลหะสองชนิดที่แตกต่างกัน จะเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าขึ้น ซึ่งสามารถนำไปวัดและแปลงเป็นค่าอุณหภูมิได้
หลักการทำงาน
- จุดเชื่อมต่อ (Junction): เทอร์โมคัปเปิลประกอบด้วยลวดโลหะสองชนิดที่แตกต่างกัน เช่น นิกเกิล-โครเมียม (NiCr) และนิกเกิล-อัลลอยด์ (NiAl) เมื่อนำปลายทั้งสองของโลหะทั้งสองชนิดมาเชื่อมต่อกัน จะเกิดจุดเชื่อมต่อขึ้น
 - ผลซีแบ็ก (Seebeck effect): เมื่อจุดเชื่อมต่อนี้สัมผัสกับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน จะเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าขึ้นที่เรียกว่าแรงเคลื่อนไฟฟ้าซีแบ็ก (Seebeck emf)
 - การวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้า: แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะถูกวัดโดยเครื่องมือวัดที่เรียกว่า มิลิโวลต์มิเตอร์ (Millivoltmeter)
 - การแปลงเป็นค่าอุณหภูมิ: ค่าแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่วัดได้จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับตารางมาตรฐานของเทอร์โมคัปเปิลแต่ละชนิด เพื่อหาค่าอุณหภูมิที่สอดคล้องกัน
 
การใช้งานเทอร์โมคัปเปิล เทอร์โมคัปเปิลถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น
- อุตสาหกรรมปิโตรเคมี: วัดอุณหภูมิของกระบวนการผลิต
 - อุตสาหกรรมเหล็กกล้า: วัดอุณหภูมิของเตาหลอม
 - อุตสาหกรรมอาหาร: วัดอุณหภูมิของอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป
 - งานวิจัย: วัดอุณหภูมิในห้องปฏิบัติการ
 - เครื่องยนต์: วัดอุณหภูมิของเครื่องยนต์
 
ประเภทของเทอร์โมคัปเปิล เทอร์โมคัปเปิลมีหลายชนิด โดยแต่ละชนิดจะมีโลหะที่แตกต่างกันและช่วงการวัดอุณหภูมิที่แตกต่างกัน เช่น
- Type K: นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีช่วงการวัดที่กว้างและราคาไม่แพง
 - Type J: มีช่วงการวัดที่ต่ำกว่า Type K
 - Type T: เหมาะสำหรับวัดอุณหภูมิต่ำ
 - Type E: มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิสูง
 
ข้อดีของเทอร์โมคัปเปิล
- ช่วงการวัดกว้าง: สามารถวัดอุณหภูมิได้ทั้งต่ำและสูงมาก
 - ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้รวดเร็ว: เหมาะสำหรับการวัดอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
 - ทนทาน: สามารถใช้งานในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้
 - ขนาดเล็ก: เหมาะสำหรับติดตั้งในพื้นที่จำกัด
 - ไม่มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว: ทำให้มีความทนทานสูง
 
ข้อจำกัดของเทอร์โมคัปเปิล
- ความแม่นยำ: อาจมีความคลาดเคลื่อนในการวัดได้บ้าง
 - ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อม: อุณหภูมิโดยรอบ ความชื้น และสภาวะทางเคมีอาจส่งผลต่อการวัด
 - ต้องใช้เครื่องมือวัดเพิ่มเติม: ต้องใช้มิลิโวลต์มิเตอร์เพื่อวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้า
 - ค่าใช้จ่าย: อาจมีราคาสูงกว่าเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิชนิดอื่นๆ
 
6.เทอร์มิสเตอร์ (Thermistor) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวต้านทาน (Resistor) โดยค่าความต้านทานของเทอร์มิสเตอร์จะเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกนำไปใช้เป็นเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการทำงาน
วัสดุ: เทอร์มิสเตอร์ทำจากวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความต้านทานสูง เช่น ออกไซด์ของโลหะต่างๆ
ความต้านทานเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ: เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น โมเลกุลของวัสดุจะเคลื่อนที่เร็วขึ้น ทำให้การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่เป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าเกิดความยากลำบากขึ้น ส่งผลให้ความต้านทานเพิ่มขึ้น หรือลดลง ขึ้นอยู่กับชนิดของเทอร์มิสเตอร์
ประเภทของเทอร์มิสเตอร์
เทอร์มิสเตอร์ NTC (Negative Temperature Coefficient): เป็นเทอร์มิสเตอร์ที่ความต้านทานจะลดลงเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น นิยมใช้ในการวัดอุณหภูมิทั่วไป เช่น ในเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
เทอร์มิสเตอร์ PTC (Positive Temperature Coefficient): เป็นเทอร์มิสเตอร์ที่ความต้านทานจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น นิยมใช้ในการป้องกันกระแสไฟฟ้าเกิน เช่น ในฟิวส์รีเซ็ตตัวเอง และตัวจำกัดกระแสกระชากในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ข้อดีของเทอร์มิสเตอร์
ความแม่นยำสูง: สามารถวัดอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ
ขนาดเล็ก: เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่จำกัด
ราคาถูก: เมื่อเทียบกับเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิชนิดอื่นๆ
ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้รวดเร็ว: เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความรวดเร็วในการวัด
ข้อจำกัดของเทอร์มิสเตอร์
ช่วงการวัด: ช่วงอุณหภูมิที่วัดได้อาจมีจำกัด
ความไวต่อความชื้น: ความชื้นอาจส่งผลต่อค่าความต้านทาน
ค่าความต้านทานไม่เป็นเชิงเส้น: กราฟความสัมพันธ์ระหว่างความต้านทานกับอุณหภูมิอาจไม่เป็นเส้นตรง
การใช้งานเทอร์มิสเตอร์
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์: ใช้ในวงจรควบคุมอุณหภูมิ เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น
เครื่องมือวัด: ใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องมือวัดอุณหภูมิ
อุปกรณ์ทางการแพทย์: ใช้ในอุปกรณ์วัดอุณหภูมิร่างกาย
อุตสาหกรรม: ใช้ในการควบคุมกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิ
7.กาลิเลโอเทอร์โมมิเตอร์ ( Galileo Thermometer ) เป็นเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยดีไซน์ที่สวยงามและหลักการทำงานที่น่าสนใจ ทำให้เป็นทั้งเครื่องมือวัดและของตกแต่งบ้านที่น่าสนใจ
หลักการทำงาน
กาลิเลโอเทอร์โมมิเตอร์ประกอบด้วยหลอดแก้วใสที่บรรจุของเหลวชนิดหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นน้ำมันหรือแอลกอฮอล์ ภายในหลอดแก้วจะมีลูกบอลแก้วขนาดและน้ำหนักแตกต่างกันหลายลูก แต่ละลูกมีป้ายบอกอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ลูกบอลเหล่านี้ทำจากแก้วและบรรจุของเหลวที่มีความหนาแน่นต่างกัน หลักการทำงานขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของของเหลว
- เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น: ของเหลวในหลอดแก้วจะขยายตัว ทำให้ความหนาแน่นลดลง ลูกบอลแก้วที่มีความหนาแน่นมากกว่าของเหลวจะค่อยๆ จมลง
 - เมื่ออุณหภูมิลดลง: ของเหลวในหลอดแก้วจะหดตัว ทำให้ความหนาแน่นเพิ่มขึ้น ลูกบอลแก้วที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าของเหลวจะค่อยๆ ลอยขึ้น
 
การอ่านค่าอุณหภูมิ
- ลูกบอลลอยสูงสุด: อุณหภูมิจะต่ำกว่าค่าที่ระบุบนลูกบอลที่ลอยสูงสุด
 - ลูกบอลจมลงทั้งหมด: อุณหภูมิจะสูงกว่าค่าที่ระบุบนลูกบอลที่จมลงล่างสุด
 - มีลูกบอลลอยปะปนกับลูกบอลที่จม: อุณหภูมิจะอยู่ระหว่างค่าที่ระบุบนลูกบอลทั้งสอง
 
ข้อดีของกาลิเลโอเทอร์โมมิเตอร์
- สวยงาม: เป็นของตกแต่งบ้านที่สวยงามและมีเอกลักษณ์
 - ใช้งานง่าย: ไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า
 - แสดงผลที่ชัดเจน: สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้อย่างชัดเจน
 - ปลอดภัย: ไม่มีส่วนประกอบที่เป็นอันตราย
 - หลักการทำงานง่าย: เหมาะสำหรับใช้ในการเรียนรู้หลักการทางฟิสิกส์เกี่ยวกับความหนาแน่นและอุณหภูมิ
 
ข้อจำกัดของกาลิเลโอเทอร์โมมิเตอร์
- ความแม่นยำ: ไม่มีความแม่นยำสูงเท่าเทอร์โมมิเตอร์ดิจิทัล
 - ช่วงการวัดจำกัด: มักจะวัดอุณหภูมิได้ในช่วงแคบๆ
 - ได้รับผลกระทบจากการสั่นสะเทือน: การสั่นสะเทือนอาจทำให้ลูกบอลแก้วเคลื่อนที่และทำให้การอ่านค่าผิดพลาด
 - ไม่เหมาะสำหรับการวัดอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: เนื่องจากลูกบอลแก้วใช้เวลาในการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
 
วิธีการอ่านค่าเทอร์โมมิเตอร์
1. เตรียมความพร้อม
- ตรวจสอบเทอร์โมมิเตอร์: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเทอร์โมมิเตอร์อยู่ในสภาพดี ไม่มีรอยแตกหรือชำรุด
 - เลือกเทอร์โมมิเตอร์ให้เหมาะสม: เลือกเทอร์โมมิเตอร์ที่เหมาะสมกับวัตถุที่ต้องการวัด เช่น เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ เทอร์โมมิเตอร์อาหาร
 - ทำความสะอาดเทอร์โมมิเตอร์: ทำความสะอาดเทอร์โมมิเตอร์ก่อนใช้งาน เพื่อให้ได้ผลการวัดที่แม่นยำ
 
2. การจุ่มหรือสัมผัส
- จุ่มเทอร์โมมิเตอร์: สำหรับการวัดอุณหภูมิของของเหลว ให้จุ่มส่วนที่เป็นเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิลงในของเหลวที่ต้องการวัด
 - สัมผัสวัตถุ: สำหรับการวัดอุณหภูมิของวัตถุแข็ง ให้สัมผัสเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิกับวัตถุโดยตรง
 
3. รอจนค่าคงที่
- รอจนกระทั่งค่าที่แสดงบนเทอร์โมมิเตอร์คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงอีก
 
4. อ่านค่า
- เทอร์โมมิเตอร์แบบปรอทหรือแอลกอฮอล์: อ่านค่าที่ระดับของของเหลวสัมผัสกับเส้นแบ่งที่บอกค่าอุณหภูมิ
 - เทอร์โมมิเตอร์ดิจิทัล: อ่านค่าที่แสดงบนหน้าจอ
 
ข้อควรระวังในการอ่านค่า
- ระดับสายตา: ขณะอ่านค่า ให้ระดับสายตาอยู่เสมอกับระดับของของเหลวในเทอร์โมมิเตอร์ เพื่อป้องกันการอ่านค่าผิดพลาด
 - การสั่นสะเทือน: หลีกเลี่ยงการสั่นสะเทือนขณะอ่านค่า
 - เวลา: รอให้ค่าคงที่ก่อนอ่านค่า เพื่อให้ได้ผลการวัดที่แม่นยำ
 - ประเภทของเทอร์โมมิเตอร์: แต่ละชนิดของเทอร์โมมิเตอร์อาจมีวิธีการอ่านค่าที่แตกต่างกันเล็กน้อย ควรอ่านคู่มือการใช้งานประกอบ
 
วิธีการดูแลรักษาเทอร์โมมิเตอร์
- การทำความสะอาด: เช็ดทำความสะอาดเทอร์โมมิเตอร์ด้วยผ้านุ่มชุบน้ำหรือแอลกอฮอล์เพื่อขจัดคราบสกปรกหลังการใช้งาน ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่อาจกัดกร่อนอุปกรณ์
 - การเก็บรักษา: เก็บเทอร์โมมิเตอร์ในที่ที่แห้งและเย็น หลีกเลี่ยงการเก็บในที่ที่มีความร้อนสูงหรือชื้น
 - การสอบเทียบ: ควรสอบเทียบเทอร์โมมิเตอร์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าการวัดยังคงมีความแม่นยำ การสอบเทียบควรทำตามคู่มือของผู้ผลิต
 - การป้องกันการกระแทก: เทอร์โมมิเตอร์บางประเภท เช่น เทอร์โมมิเตอร์ปรอท อาจเกิดความเสียหายจากการกระแทกได้ง่าย ควรจัดการด้วยความระมัดระวังและเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย
 - การตรวจสอบสภาพ: ตรวจสอบเทอร์โมมิเตอร์อย่างสม่ำเสมอว่ามีรอยร้าวหรือความเสียหายอื่น ๆ หากพบความเสียหาย ควรเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อความแม่นยำในการวัด
 - การใช้งานตามคู่มือ: ปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้งานและการดูแลรักษาที่ระบุในคู่มือผู้ผลิต เพื่อป้องกันการเสียหายและรักษาประสิทธิภาพของเทอร์โมมิเตอร์
 
ข้อระวังในการใช้เทอร์โมมิเตอร์
- อย่าใช้งานเทอร์โมมิเตอร์ปรอทที่แตกหัก: หากเทอร์โมมิเตอร์ปรอทแตกหัก ควรหยุดใช้งานทันที เพราะปรอทเป็นสารพิษที่สามารถทำอันตรายต่อสุขภาพได้
 - หลีกเลี่ยงการกระแทกหรือทิ้งเทอร์โมมิเตอร์: เทอร์โมมิเตอร์บางประเภท เช่น เทอร์โมมิเตอร์แก้ว สามารถแตกหักได้ง่ายเมื่อถูกกระแทก ควรจัดการอย่างระมัดระวัง
 - เก็บให้ห่างจากมือเด็ก: เทอร์โมมิเตอร์ที่มีส่วนประกอบเป็นสารเคมีควรเก็บให้พ้นมือเด็ก เพื่อป้องกันการเผลอกลืนหรือสัมผัสสารอันตราย
 - ห้ามจุ่มเทอร์โมมิเตอร์ลงในของเหลวที่ร้อนจัด: ไม่ควรใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิของของเหลวที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่าขีดจำกัดที่ระบุในคู่มือผู้ผลิต เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพหรือความเสียหาย
 - ตรวจสอบและสอบเทียบ: ควรตรวจสอบเทอร์โมมิเตอร์ก่อนใช้งานทุกครั้ง และสอบเทียบเป็นระยะ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการวัดอุณหภูมิมีความแม่นยำ
 - ทำความสะอาดหลังการใช้งาน: ทำความสะอาดเทอร์โมมิเตอร์ด้วยผ้านุ่มและสารทำความสะอาดที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรก
 - ปฏิบัติตามคำแนะนำจากผู้ผลิต: อ่านและปฏิบัติตามคำแนะนำจากผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด เพื่อการใช้งานที่ปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของเทอร์โมมิเตอร์
 
29 October 2024
Viewed 3539 time